Grand Seiko ขึ้นชื่อในด้านการสร้างนวัตกรรมนาฬิกาข้อมือที่ใช้ศิลปะ หัตถศิลป์ และเทคโนโลยี ในการบอกเล่าเรื่องราวและถ่ายทอดความรู้สึกของสถานที่ต่าง ๆ เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา แนวทางการนำเสนอนี้เคยถูกถ่ายทอดผ่านนาฬิกา สปริงไดรฟ์ ชนิดขึ้นลานด้วยมือรุ่น SBGY007 หรือที่รู้จักกันในนาม “Omiwatari” (โอมิวาตาริ) ที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และเป็นที่รักของผู้คนมากมายกันมาแล้ว
นาฬิการุ่นนั้นโดดเด่นด้วยผิวลายและโทนสีหน้าปัดแบบไอซ์บลู น้ำแข็งสีฟ้า และดีไซน์ตัวเรือน ”สไตล์เดรส” การขัดเงาด้วยเทคนิคซารัตสึ ถูกนำมาใช้กับผิวตัวเรือนเพื่อสร้างพื้นผิวที่ปราศจากการบิดเบือนบนแนวขาตัวเรือนทรงโค้งเพื่อแสดงให้เห็นถึงงานหัตถศิลป์แบบดั้งเดิมที่เป็นนวัตกรรมของ Grand Seiko ทั้งหมดนี้คือการแสวงหาหนทางในการสร้างนาฬิกาที่ดีที่สุดเท่าที่จะสามารถเป็นไปได้
ผลงานชิ้นใหม่ SBGY013 รุ่นนี้ Grand Seiko ได้นำรุ่น “Omiwatari” (โอมิวาตาริ) กลับมานำเสนอกันอีกครั้ง รูปแบบลายผิวหน้าปัดที่คุ้นเคยถูกนำกลับมาแต่ปรับเปลี่ยนเป็นโทนสีขาวซึ่งนำพาให้นึกถึงทะเลสาบซูวะ ในยามที่กลายเป็นน้ำแข็งและปกคลุมไปด้วยหิมะ ขนาดตัวเรือน 38.5 มิลลิเมตร ที่หนาเพียง 10.2 มิลลิเมตรยังคงเหมือนที่เคยเป็นมา แต่คราวนี้มาพร้อมกับสายนาฬิกาแบบ 9 แถวที่ให้ผิวสัมผัสอ่อนละมุนซึ่งเป็นครั้งแรกที่นำสายข้อมือรูปแบบนี้มาใช้กับตัวเรือนของรุ่น “Omiwatari” ซึ่งก็สามารถนำไปใช้กับรุ่น SBGY007 รวมไปถึงรุ่น SBGY003 อันเป็นนาฬิกา สปริงไดรฟ์ รุ่นแรกที่ใช้ดีไซน์สไตล์เดรสได้ด้วย
Omiwatari ตำนานเรื่องราวของเหตุการณ์ที่เหล่าทวยเทพเดินทางอยู่บนพื้นน้ำแข็ง มีที่มาจากพื้นที่ที่นาฬิกา Grand Seiko ถูกผลิตขึ้น โดยมาจากเรื่องราวของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 2 ใน 4 ประการ อันได้แก่ ศาลเจ้าใหญ่ซูวะ ที่ตั้งอยู่ ณ ส่วนปลายของทะเลสาบซูวะในแต่ละฝั่ง และปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่ถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันในบางเหตุการณ์ ในบางฤดูหนาวที่ทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็ง จะเกิดภาพสันเขาขนาดมหึมาพาดยาวจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งขึ้นบนผิวน้ำแข็ง ตามธรรมชาติของสันเขายาวเช่นนี้ จะทำให้เสียงที่เกิดขึ้นจากน้ำพุร้อนที่คุกรุ่นอยู่ใต้พื้นผิวแพร่กระจายออกไปได้หลายพันเมตร แต่ตามตำนานเล่าขานนั้น เสียงนี้เกิดจากเทพเจ้าของชินโตที่สถิตอยู่ ณ ศาลเจ้าซึ่งตั้งอยู่ที่ส่วนปลายของทะเลสาบแต่ละฝั่ง และตามคำอธิบายทางความเชื่อนั้น รอยที่เกิดขึ้นก็คือ รอยทางที่เทพเจ้าทิ้งไว้บนผิวน้ำแข็งของทะเลสาบซูวะในขณะที่พวกพวกท่านเดินทางจากปลายด้านหนึ่งของทะเลสาบไปยังอีกด้านหนึ่ง
หน้าปัดซึ่งจำลองลักษณะมาจากแนวคลื่นของทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็ง เป็นลวดลายที่ถูกสร้างขึ้นจากช่างฝีมือด้วยการใช้ค้อนหลายรูปแบบทุบบนแม่พิมพ์ และเพื่อให้เข้ากับความโค้งและความลาดของหน้าปัดกับกระจกหน้าปัดแซพไฟร์ หลักชั่วโมงที่ตัดเจียรแบบหลายเหลี่ยมมุมและเข็มวินาทีกับเข็มนาทีจึงถูกทำให้โค้งตามไปด้วย และด้วยอานิสงส์ของกลไก สปริงไดรฟ์ เข็มวินาทีจึงเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีจังหวะสะดุดหรือการสั่นไหว ดุจการไหลของสายน้ำที่สะท้อนถึงกระแสธรรมชาติของเวลา เข็มวินาทีแต่ละชิ้นจะถูกผ่านความร้อนด้วยเทคนิคแบบดั้งเดิมเพื่อให้กลายเป็นสีน้ำเงินโดยช่างฝีมือแห่งสตูดิโอนาฬิกาชินชู ของ Seiko Epson (ไซโก เอปสัน) ในโรงงานชิโอจิริ
ภายใต้หน้าปัดอันงดงาม เป็นการทำงานของนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า และเป็นความแม่นยำกับความงดงามที่มุ่งสู่การเป็นตำนานแห่งเครื่องบอกเวลา กลไก สปริงไดรฟ์ คาลิเบอร์ 9R31 ทำงานด้วยจำนวนทับทิม 30 ชิ้น และมีความแม่นยำถึง +/-15 วินาทีต่อเดือน (+/-1 วินาทีต่อวันโดยเฉลี่ย) ได้เป็นเวลานานถึง 72 ชั่วโมงจากการขึ้นลานจนเต็มเพียงครั้งเดียวโดยสามารถอ่านค่าระดับพลังงานสำรองได้จากเข็มที่อยู่ด้านหลังของสะพานจักรขนาดใหญ่ที่ตกแต่งเป็นแนวเส้นละเอียดแบบแฮร์ไลน์ แข่งความงดงามกับหน้าปัดให้ผู้สวมใส่ได้ชื่นชม ส่วนสกรูวัสดุสตีลแต่ละชิ้นที่มองเห็นได้ผ่านกระจกบนฝาหลังก็ถูกกระทำให้เป็นสีน้ำเงินด้วยมือ
กลไก 9R31 มีคุณลักษณะของโครงสร้างตลับลานคู่เช่นเดียวกับที่ใช้กับคาลิเบอร์ระดับมาสเตอร์พีซ 9R02 ที่ถูกสร้างขึ้นในสตูดิโอ ไมโคร อาร์ติสท์ ของ Grand Seiko การทำงานอย่างต่อเนื่องได้ถึง 3 วันนั้นเพียงพอที่จะข้ามผ่านช่วงเวลาสุดสัปดาห์หากเจ้าของนาฬิกาตัดสินใจจะถอดนาฬิกาเดรสที่ขึ้นลานด้วยมือวางไว้ในช่วงเวลานี้ และด้วยการจับคู่กับสายข้อมือแบบ 9 แถว บทล่าสุดของ Omiwatari จึงมีความน่าสนใจยิ่งนักสำหรับการสวมใส่ใช้งานในชีวิตประจำวัน
SBGY013 จะวางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน 2022 ด้วยราคา 353,100 บาท
